สารพันเรื่องราวน่าพิศวงของสิ่งมีชีวิตต่างดาวในรอบปี 2022
ตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา วงการชีวดาราศาสตร์ (Astrobiology)ได้นำเสนอการค้นพบรวมทั้งผลการศึกษาวิจัยใหม่ ๆ ว่าด้วยสิ่งมีชีวิตต่างดาวเอาไว้มากมาย
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับจานบินยูเอฟโอต่อสาธารณชนหลายต่อหลายครั้ง แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่ามันคืออะไรกันแน่ก็ตาม
ส่วนจีนนั้นอ้างเมื่อเดือน มิ.ย. ว่ากล้องโทรทรรศน์วิทยุ FAST ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จับสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ ก่อนจะออกมาปฏิเสธในภายหลังว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน
เอเลียนอาจสื่อสารกันด้วยอนุภาคควอนตัม
รูปแบบหนึ่งของการสื่อสารแห่งอนาคตซึ่งทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ก็คือการส่งข้อมูลเข้ารหัสทางไกลด้วยอนุภาคควอนตัม (quantum telecommunications)
เชื่อกันว่าวิธีการสื่อสารแบบนี้ สามารถจะช่วยให้มนุษย์ติดต่อรับส่งข้อมูลข้ามโลก หรือแม้แต่ข้ามกาแล็กซีทางช้างเผือกและห้วงจักรวาลได้ภายในชั่วพริบตา ซึ่งบรรดาเอเลียนหรือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวทั้งหลาย ก็อาจใช้เทคโนโลยีควอนตัมนี้สื่อสารกันข้ามห้วงจักรวาลมาเป็นเวลานานแล้วก็เป็นได้
ผลคำนวณทางคณิตศาสตร์ล่าสุดพบว่า อนุภาคของแสงหรือโฟตอน (photon) สามารถจะเดินทางไปในห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวได้ไกลถึงหลายแสนปีแสงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ถูกรบกวนจนสูญเสียสมบัติทางควอนตัมของตัวมันเองไปเสียก่อน
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาว ซึ่งสามารถท่องเที่ยวไปในห้วงจักรวาลด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย จะใช้การสื่อสารด้วยควอนตัมติดต่อพูดคุยกันระหว่างดวงดาวต่าง ๆ หรืออาจเคยส่งสัญญาณควอนตัมมายังโลกแล้วก็เป็นได้ การค้นหาสัญญาณที่สื่อสารด้วยควอนตัมจึงเป็นโอกาสใหม่ ซึ่งอาจนำเราไปพบกับมนุษย์ต่างดาวในที่สุด
ทีมผู้วิจัยเห็นว่าชาติมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติที่มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่สามารถจะปกปิดและผูกขาดการติดต่อกับเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาต่างดาวเอาไว้ได้ เนื่องจากโลกของวิทยาการตะวันตกนั้นเชื่อมต่อและบูรณาการเข้าด้วยกันอย่างเหนียวแน่นและซับซ้อน ด้วยเครือข่ายความร่วมมือต่าง ๆ ที่ไม่อาจแยกขาดออกจากกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้สภาพการณ์ต่อสู้แย่งชิงช่องทางสื่อสารกับต่างดาวเกิดขึ้นได้
จักรวาลคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใต้บงการของเอเลียนจริงหรือไม่
ถือเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะล่วงรู้ได้ว่า ตัวตนของเราและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในจักรวาลทั้งหมด มีความเป็นสสาร-พลังงานที่มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงข้อมูลดิจิทัลที่เอเลียนควบคุมและจำลองขึ้นใน “ความเป็นจริงเสมือน” (virtual reality) กันแน่
ล่าสุดศาสตราจารย์ เมลวิน เอ็ม. ว็อปสัน นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธของสหราชอาณาจักร ได้เสนอวิธีพิสูจน์เพื่อตอบคำถามดังกล่าว โดยใช้ความรู้จากวิทยาการสมัยใหม่สาขา “ฟิสิกส์สารสนเทศ” (Information Physics)
แนวคิดนี้มองว่าจักรวาลหรือเอกภพทั้งหมดคือคอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาดยักษ์ รากฐานของสรรพสิ่งที่แท้จริงก็คือข้อมูลสารสนเทศ (information) ไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงาน หรือปริภูมิ-เวลา โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่ประกอบสร้างขึ้นจาก “บิต” (bit) หรือหน่วยของข้อมูลสารสนเทศในลำดับชั้นที่เล็กย่อยที่สุด
นอกจากนี้ กฎธรรมชาติหรือกฎฟิสิกส์ยังมีลักษณะคล้ายกับรหัสหรือโค้ด (code) ของแบบจำลองคอมพิวเตอร์อีกด้วย ดังนั้นเราสามารถพิสูจน์ว่าสรรพสิ่งคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์จริงหรือไม่ โดยค้นหาบิตหรือข้อมูลสารสนเทศที่มีความเท่าเทียมสมมูลกับมวลและพลังงาน รวมทั้งโค้ดที่แฝงอยู่ทั่วไปรอบตัวเราในมวลหรือพลังงานด้วย
ศ. ว็อปสันเสนอให้ทำการทดลองเพื่อหาร่องรอยข้อมูลสารสนเทศ โดยใช้วิธีการเร่งและชนอนุภาค ซึ่งเป็นวิธีที่เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถทำได้
สิ่งมีชีวิตแรกที่เกิดบนดาวอังคาร อาจทำให้ตัวเองต้องสูญพันธุ์
แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารไม่พบ แต่ข้อมูลใหม่ ๆ จากการสำรวจทำให้พวกเขาเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่า อย่างน้อยในอดีตหลายพันล้านปีก่อน จะต้องเคยมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้แน่ แต่พวกมันอาจมีพฤติกรรมทำลายตัวเองจนต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Astronomy ฉบับวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อ 3,700 ล้านปีก่อน ดาวอังคารเคยมีจุลินทรีย์ซึ่งกินไฮโดรเจนและขับถ่ายมีเทนออกมา โดยในช่วงเวลาเดียวกันนั้น โลกก็ได้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกันขึ้นมาแล้ว
มีการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อทำนายถึงผลกระทบที่จุลินทรีย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกบนดาวอังคารมีต่อสิ่งแวดล้อมบนดาวของมันเอง ทำให้พบว่าหากจุลินทรีย์กินไฮโดรเจนเคยมีอยู่จริง พวกมันจะส่งผลเสียต่อชั้นบรรยากาศและการดำรงชีวิตของตนเองเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากผลกระทบของจุลินทรีย์ชนิดนี้ต่อโลก
หากจุลินทรีย์ที่กินไฮโดรเจนและขับถ่ายมีเทนออกมามีอยู่จริงในยุคต้นของดาวอังคาร พวกมันจะทำให้ไฮโดรเจนในชั้นบรรยากาศหมดไปอย่างรวดเร็ว จนดาวอังคารสูญเสียความสามารถในการกักเก็บความร้อน และพื้นผิวดาวเย็นลงจนไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้อีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น