วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567

สารพันเรื่องราวน่าพิศวงของสิ่งมีชีวิตต่างดาวในรอบปี 2023

 

สารพันเรื่องราวน่าพิศวงของสิ่งมีชีวิตต่างดาวในรอบปี 2023

สามเอเลียน

ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

ตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา วงการชีวดาราศาสตร์ (Astrobiology) ได้นำเสนอการผลการศึกษาวิจัยใหม่ ๆ ว่าด้วยสิ่งมีชีวิตต่างดาวเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งสมมติฐานที่มีความเป็นไปได้สูงในหลายประเด็น ซึ่งนำไปสู่การคิดค้นเทคนิควิธีที่จะช่วยให้เราค้นหาเพื่อนร่วมจักรวาลได้ง่ายขึ้น

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่ามกลางความเคลื่อนไหวในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ และรัฐสภาเม็กซิโก ที่ออกมาทำการไต่สวนสาธารณะ เพื่อเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับและ “มัมมี่เอเลียน” ต่อคนทั่วไป แม้จะถูกเหล่านักวิทยาศาสตร์วิจารณ์ว่า ฝ่ายการเมืองเปิดเวทีสนับสนุน และทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้กลุ่มผู้งมงายในทฤษฎีสมคบคิด รวมทั้งกลุ่มผู้คลั่งไคล้ในมนุษย์ต่างดาวอย่างไม่สมควร

นักวิทยาศาสตร์ชี้ “มัมมี่เอเลียนพันปี” ไม่ใช่ของจริง

ร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาดจากประเทศเปรู ซึ่งมีผู้นำมาแสดงต่อรัฐสภาเม็กซิโกเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นซากของสิ่งที่ “ไม่ใช่มนุษย์” และมีอายุเก่าแก่นับพันปี ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องออกมาโต้แย้งว่า มันไม่ใช่ศพของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวหรือเอเลียนแต่อย่างใด

ร่างของสิ่งมีชีวิตที่ถูกอ้างว่า “ไม่ใช่มนุษย์ และมีอายุเก่าแก่ถึงหนึ่งพันปี”

ที่มาของภาพ,REUTERS

คำบรรยายภาพ,

ร่างของสิ่งมีชีวิตที่ถูกอ้างว่า “ไม่ใช่มนุษย์ และมีอายุเก่าแก่ถึงหนึ่งพันปี”

นายไฮเม เมาซาน ผู้สื่อข่าวชาวเม็กซิกัน และนายโฮเซ เด เฮซุส ซัลเซ เบนิเตซ แพทย์ทหารสัญชาติเดียวกัน ได้นำร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ร่าง มาแสดงต่อหน้าบรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้เข้ารับฟังการไต่สวนสาธารณะ ว่าด้วยปรากฏการณ์ทางอากาศที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ (Unidentified Aerial Phenomena - UAP)

ซากศพของสิ่งมีชีวิตประหลาดดังกล่าว มีความสูงไม่ถึง 1 เมตร รูปร่างผอม ผิวสีเทา ศีรษะใหญ่ มีนิ้วมือเพียงข้างละ 3 นิ้ว ในท้องมีไข่ที่อาจใช้ในการสืบพันธุ์ และยังพบอวัยวะเทียมทำจากธาตุออสเมียม (Os) และแคดเมียม (Cd) อยู่ในร่างของมัมมี่ทั้งสองด้วย โดยนายเมาซานและนายเบนิเตซอ้างว่า ผลตรวจดีเอ็นเอบ่งชี้ชัดเจนว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์ ส่วนผลการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสีชี้ว่า ร่างดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ถึง 1,000 ปีทีมผู้วิจัยพบว่า วงจรการเร่งปฏิกิริยาอัตโนมัติเหล่านี้ สามารถใช้สารอนินทรีย์อย่างเช่นปรอท (Hg) โลหะกัมมันตรังสีอย่างทอเรียม (Th) รวมทั้งก๊าซเฉื่อยอย่างซีนอน (Xe) โดยมักจะเป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในสภาวะอุณหภูมิและความดันสูงหรือต่ำผิดปกติ

มนุษย์พบหน้าเอเลียนครั้งแรก อาจลงเอยด้วยการล่าอาณานิคม-ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

องค์กร “เซติ” (SETI) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียงในด้านการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวมานานหลายสิบปี ได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ซึ่งระดมความรู้จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ “วาระแรกพบ” ระหว่างมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาว ที่ไม่แน่ว่าอาจมีขึ้นในเร็ววันนี้ก็เป็นได้

นักวิทยาศาสตร์พยายามจินตนาการถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเอเลียนกับมนุษย์

ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

คำบรรยายภาพ,

นักวิทยาศาสตร์พยายามจินตนาการถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเอเลียนกับมนุษย์

นักมานุษยวิทยาและนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันหลายคน ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าวด้วย ซึ่งพวกเขาแสดงความเห็นว่า หากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวมีจริงและได้ค้นพบโลกของเราแล้ว พวกเขาอาจไม่พอใจต่อการดักฟังสัญญาณวิทยุจากห้วงอวกาศ อย่างเช่นโครงการ Breakthrough Listen ของเซติก็เป็นได้ เพราะเป็นการกระทำที่สร้างความหวาดระแวงให้กับเอเลียน ซึ่งอาจทำให้พวกเขาไม่เป็นมิตรกับชาวโลก

ผู้เชี่ยวชาญบางรายเสนอบทเรียนจากประวัติศาสตร์โลกว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่การเริ่มต้นความสัมพันธ์ผิดพลาด จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย อย่างเช่นการตกเป็นทาสหรือถูกทำให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์โดยเอเลียนได้ ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของการล่าอาณานิคมโดยชาติมหาอำนาจตะวันตก การพบปะกันระหว่างคนแปลกหน้าจากต่างดินแดน ได้นำไปสู่สิ่งเลวร้ายนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง โรคระบาด การค้าทาส รวมไปถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

อารยธรรมต่างดาวอาจตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเราได้

หากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวมีอยู่จริง และกำลังเสาะแสวงหาเพื่อนร่วมกาแล็กซี สัญญาณของโทรศัพท์มือถือที่รั่วไหลจากเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคมนับล้านแห่งบนโลก อาจถูกตรวจจับได้โดยอารยธรรมต่างดาวที่มีความเจริญระดับสูง ซึ่งจะทำให้พวกเขารู้ว่ามีอารยธรรมของมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้

หน้าเอเลียนสีฟ้า

ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารรายเดือนของราชสมาคมดาราศาสตร์ (MNRAS) ระบุว่า “เอเลียน” ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งอาจมีอยู่ในระบบดาวที่ใกล้ชิดกับระบบสุริยะของเรา น่าจะตรวจจับสัญญาณวิทยุที่รั่วไหลออกจากเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคมบนโลกได้นานแล้ว

ยิ่งเครือข่ายโทรคมนาคมบนโลกหนาแน่นขึ้น รวมทั้งส่งสัญญาณได้แรงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เหมือนกับจุดคบไฟให้มนุษย์ต่างดาวสังเกตเห็นเราได้เป็นวงกว้างยิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันสัญญาณจากมนุษย์อาจตรวจพบได้ทั่วทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือก

ผลการทดสอบพบว่า สัญญาณโทรคมนาคมบางอย่าง เช่นคลื่นวิทยุจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสัญญาณสื่อสารผ่านดาวเทียม สามารถจะไปถึงระบบดาวที่มีดาวฤกษ์ศูนย์กลางอยู่ใกล้กับระบบสุริยะของเราได้ อย่างเช่นดาวบาร์นาร์ด (Barnard’s star) ดาวฤกษ์ชนิดดาวแคระแดงที่อยู่ห่างออกไป 6 ปีแสง ซึ่งมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่คล้ายโลกเป็นบริวาร

ที่มาhttps://www.bbc.com/thai/articles/ce7kgz5l6gzo


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น