โรคไบโพลาร์เป็นอย่างไร ทำไมจึงเกี่ยวข้องกับจิตรกรผู้โด่งดัง "แวน โก๊ะ"
เป็นที่ทราบกันดีว่า "วินเซนต์ แวน โก๊ะ" ศิลปินชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกมีปัญหาทางสุขภาพจิต ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงคือ การที่เขาใช้มีดตัดหูข้างซ้ายของเขา ก่อนที่อีกสองปีต่อมาเขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ทว่า จนถึงตอนนี้ยังคงมีข้อถกเถียงกันอยู่อย่างมากมายเกี่ยวกับอาการที่แท้จริงของโรคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตว่ามีลักษณะอย่างไร
ที่สำคัญ เป็นเรื่องยากซับซ้อนขึ้นไปอีกกับการวินิจฉัยโลกของผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีหลายทฤษฎีที่นำมาอธิบายเกี่ยวกับสภาวะทางจิตใจของจิตรกรเอกรายนี้
หนึ่งในนั้นคือ รายงานของเหล่านักวิชาการชาวดัตช์เมื่อปี 2020 ที่ตั้งเป้าที่จะวินิจฉัยอาการผิดปกติของเขาด้วยหลักฐานที่เป็นตัวอักษรเกือบ 1,000 ตัว
ทุก ๆ ปี ในวันที่ 30 มี.ค. ถือเป็นวันไบโพลาร์โลก ซึ่งตรงกับวันเกิดของจิตรกรเอกชาวดัตช์ "แวน โก๊ะ" แล้วทำไมทั้งสองอย่างจึงมีความเกี่ยวข้องกัน บีบีซีมีคำตอบ
แวน โก๊ะ เป็นโรคไบโพลาร์จริงหรือ
![The Starry Night by Vincent van Gogh](https://ichef.bbci.co.uk/ace/ws/640/cpsprodpb/f7f4/live/adb781e0-ed2d-11ee-9410-0f893255c2a0.jpg)
ที่มาของภาพ,CORBIS VIA GETTY IMAGES
คำบรรยายภาพ,แวน โก๊ะวาดภาพ "ราตรีประดับดาว" (The Starry Night) ระหว่างการพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทางจิตเวชในเมืองแซ็ง-เรมี ของฝรั่งเศส เมื่อปี 1889
แวน โก๊ะ ต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาด้านสุขภาพจิตนานับประการตั้งแต่วัยรุ่น จนกระทั่งเหตุการณ์ที่กลายเป็นที่ถูกพูดถึงคือ การเขาให้มีดตัดหูด้านซ้ายของตัวเอง หลังจากเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพจิต
ต่อมาในเดือน ก.ค. 1890 ขณะที่เขายืนอยู่ในทุ่งนานอกกรุงปารีส เขาตัดสินใจลั่นไกปืนปลิดชีพตัวเอง แต่ไม่ได้เสียชีวิตในทันที สองวันถัดมา เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงเสียชีวิตลงในวัย 37 ปี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีหลายทฤษฎีที่ถูกนำเสนอเพื่อแข่งขันและอธิบายภาวะทางจิตใจของจิตรกรเองรายนี้ ก่อนที่เขาจะปลิดชีพตัวเองลง แต่หนึ่งในทฤษฎีที่ดูจะน่าสนใจที่สุด คือ "เขาเป็นโรคไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว"
โรคไบโพลาร์เป็นอย่างไร
- สุขสภาวะทางจิตที่มีผลต่ออารมณ์ และมีบุคลิกลักษณะที่เปลี่ยนไปมาแบบสุดขั้ว
- ค่อนข้างเป็นภาวะที่พบเห็นได้โดยทั่วไป คาดว่าสามารถพบเห็นได้หนึ่งในหนึ่งร้อยคน
- โรคไบโพลาร์มีหลายชนิดแตกต่างกันจากอาการที่แสดงออกและระยะเวลา: ชนิด 1 มีอาการพุ่งพล่านสลับไปมากับอาการซึมเศร้า, ชนิดที่ 2 มีอาการซึมเศร้าขั้นรุนแรงและอารมณ์พุ่งพล่าน หรือเรียกอีกอย่างว่า "มีอารมณ์ดีมากกว่าปกติ" (hypomania) เป็นระยะเวลาอันสั้น และอีกกลุ่มคือ ผู้ที่มีอาการไซโคลทิเมีย (cyclothymia) ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ที่ไม่รุนแรง แต่มีระยะเวลาแสดงอาการยาวนานกว่า
- ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายจากภูมิหลังต่าง ๆ ก็มีโอกาสเป็นโรคไบโพลาร์ได้เท่า ๆ กัน และแม้ว่าโรคนี้สามารถเกิดขึ้นกับทุกวัย แต่คนในช่วงวัยรุ่นตอนปลายมักมีความเปราะบางทางอารมณ์จึงสามารถเป็นโรคนี้ได้ ในช่วงอายุประมาณ 15-19 ปี
- ในช่วงเวลาขึ้นลงของอารมณ์ทั้งสองช่วงของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์อาจจะใช้เวลานานหลายสัปดาห์ หรือ มากกว่านั้น
- การรักษาระยะยาวจำเป็นต้องใช้ ยาควบคุมอารมณ์ เพื่อปรับและป้องกันการสลับไปมาระหว่างขั้วซึมเศร้าและขั้วแมเนีย ให้กลับมาอยู่อารมณ์ปกติ
- การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น
- การบำบัดทางจิตวิทยาสามารถช่วยแก้ไขปัญหาซึมเศร้า
- คำแนะนำในการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และพักผ่อนให้มากขึ้น
แต่เราสามารถมั่นใจได้อย่างไรว่า เขามีอาการของโรคนี้ ไม่ใช่มาจากความทรมานจากภาวะอื่น ๆ เช่น โรคจิตเภท โรคซิฟิลิสระบบประสาท หรือ การได้รับสารพิษ
คำตอบกลับปรากฏบนหลักฐานที่เขาได้ทิ้งเอาไว้
![A letter co-written by Vincent Van Gogh and French painter Paul Gauguin is held at an auction house](https://ichef.bbci.co.uk/ace/ws/640/cpsprodpb/a5d5/live/218b7450-ed2e-11ee-8bf3-195418ba9285.jpg)
ที่มาของภาพ,AFP
คำบรรยายภาพ,แวน โก๊ะ เคยเป็นนักเขียนที่ฝากผลงานเอาไว้จำนวนมาก นี่คือ หนึ่งในผลงานการร่วมเขียนกับเพื่อนของเขา และเพื่อนศิลปิน พอล โกแกง (Paul Gauguin)
"เราโชคดีที่ได้ศึกษางานเขียนที่มีตัวอักษรเกือบ 1,000 ตัว ที่แวน โก๊ะ เป็นคนเขียนขึ้นกับพี่น้องและผองเพื่อนของเขา ซึ่งพวกเราใช้เป็นฐานความคิดในข้อสรุปของพวกเรา" วิลเลม โนเลน ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุแล้วจากมหาวิทยาลัยโกรนิงเกน ในเนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในผู้ทำงานศึกษาเรื่องนี้
เขาบอกกับบีบีซีว่า ตัวอักษรเหล่านั้นถือเป็นโอกาสที่ทำให้ทีมงานของเขาได้เห็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงอาการต่าง ๆ ที่ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคได้ โดยความตั้งใจของทีมงานคือ การสัมภาษณ์เพื่อวินิจฉัยโรคของแวน โก๊ะ ในฐานะคนไข้ เพื่อวิเคราะห์สุขภาวะทางจิตเวช แม้ว่าจะทราบอยู่แล้วว่า เขาไม่ได้เขียนข้อความเหล่านั้นให้กับแพทย์ และอาจจะไม่บ่งบอกถึงความจริงใจทั้งหมดของเขาในข้อความดังกล่าว
"เขาอาจจะเขียนถึงอาการของเขาเกินจริงไปในจดหมายที่เขาเขียนถึงน้องชายของเขาก็ได้ เพราะเขาต้องการเงินและความช่วยเหลือมากขึ้น ทว่า คุณสามารถใช้จินตนาการว่า หากเขาจะเขียนจดหมายถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว เช่น แม่ของเขา ซึ่งเขาอาจจะเขียนให้ดูมีอาการรุนแรงน้อยกว่าก็ได้" ศาสตราจารย์โนเลน อธิบาย
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์โนเลนยังศึกษาหนังสือเกี่ยวกับจดหมายจากแวน โก๊ะ ทั้ง 6 เล่ม รวมทั้งสัมภาษณ์นักประวัติศาสตร์ด้านศิลปะอีก 3 คน ที่พิพิธภัณฑ์วินเซนต์ แวน โก๊ะ ในประเทศเนเธอแลนด์ เพื่อใช้ในการรวบรวมข้อมูลสำหรับงานศึกษาชิ้นนี้
![Six volumes of Van Gogh's letters](https://ichef.bbci.co.uk/ace/ws/640/cpsprodpb/141c/live/6ae2efc0-ed2e-11ee-8bf3-195418ba9285.jpg)
ที่มาของภาพ,WILLEM NOLEN
คำบรรยายภาพ,ผลการศึกษาได้พิจารณาจากเนื้อหาของหนังสือเกี่ยวกับจดหมายของแวน โก๊ะ ทั้ง 6 เล่ม
ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในวารสารภาวะไบโพลาร์ระดับนานาชาติ (the International Journal of Bipolar Disorders) ว่า แวน โก๊ะ เป็นโรคไบโพลาร์ จากลักษณะของความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (Borderline personality disorder-BPD) ซึ่งมักจะมีแนวโน้วเลวร้ายลง ผ่านการติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และภาวะทุพโภชนา หรือ ขาดสารอาหาร
ในช่วงที่แวน โก๊ะยังมีชีวิต เขาไม่เข้าใจถึงความผิดปกติในตัวเองอย่างกระจ่างชัดนัก เขาเคยเขียนถึง อาการทางจิตหรือในลักษณะของไข้ใจ หรือ ความคลั่ง ซึ่งทำให้เขาไม่รู้ว่าจะพูดหรือเรียกมันอย่างอย่างไร แต่เบื้องต้นเขาอธิบายมันว่า "ความบ้าคลั่งของศิลปินผู้เรียบง่ายคนหนึ่ง"
ผลการศึกษานี้ยังพบว่า หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า แวน โก๊ะ ทรมานกับภาวะซึมเศร้าในช่วงวัยรุ่น มีลักษณะของความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการจงใจทำอันตรายต่อมือหรือนิ้วของตัวเอง
แต่สิ่งที่บ่งชี้ว่า แวน โก๊ะ เป็นโรคไบโพลาร์คือ การที่เขาแสดงอาการมีอารมณ์ขั้วซึมเศร้าและคึกคัก
"แม้ว่า ในช่วงที่เขามีอาการซึมเศร้าจะเห็นชัดว่า เข้าขั้นรุนแรง แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนักว่า เป็นโรคไบโพลาร์แบบใด เนื่องจากเราไม่สามารถพิสูจน์ได้จากจดหมาย[ของเขา] หรือ ไม่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า เขามีอาการในขั้วคึกคัก" ศาสตราจารย์โนเลน อธิบาย
![Self-Portrait, 1887. Artist Vincent van Gogh](https://ichef.bbci.co.uk/ace/ws/640/cpsprodpb/a28a/live/a735bf20-ed2e-11ee-8bf3-195418ba9285.jpg)
ที่มาของภาพ,HERITAGE IMAGES VIA GETTY IMAGES
คำบรรยายภาพ,แวน โก๊ะ สร้างผลงานออกมาเป็นจำนวนมาก อย่างน้อย 35 ชิ้นงานที่เกี่ยวกับภาพวาดเสมือนตัวเอง ส่วนภาพนี้เขาวาขึ้นในปี1887
ส่วนที่ทราบมาจากผลงานศิลปะที่เขารังสรรค์ระหว่างที่ยังคงมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงชีวิตปั้นปลาย ที่เขาสร้างผลงานออกมาเป็นจำนวนมาก อย่างน้อย 35 ชิ้นงานที่เกี่ยวกับภาพวาดเสมือนตัวเองและผลงานอื่น ๆ ที่วาดเกี่ยวกับดอกทานตะวัน
ศาสตราจารย์โนเลนกล่าว่า มีความเป็นไปได้ที่แวน โก๊ะ วาดภาพจำนวนมากขณะที่เขาอยู่มีอารมณ์ในขั้วคึกคักเกินปกติหรือมีอารมณ์ดีมากกว่าปกติ ซึ่งผู้ป่วยในภาวะนี้ บางครั้งจะมีส่วนเกี่ยวโยงกับการมีความคิดสร้างสรรค์อย่างสุดขั้ว ซึ่งมีเหล่าเซเลบริตี หรือผู้มีชื่อเสียงกล่าวอย่างเปิดเผยว่า พวกเขาก็มีอาการเช่นนั้นเหมือนกัน อาทิ มารายห์ แครี, เดมี โลวาโต, เซเลนา โกเมซ และเบเบ เร็กซา เช่นเดียวกันกับนักดนตรี นักแสดง และศิลปินจำนวนมาก ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิต ก็เคยอธิบายถึงอาการคล้าย ๆ กัน
ศาสตราจารย์โนเลนระบุว่า มีหลักฐานหนักแน่นที่แสดงให้เห็นถึงภาวะความผิดปกติทั้งในจดหมายและผลงานศิลปะของแวน โก๊ะ เท่า ๆ กัน โดยพบว่า เขามีระยะซึมเศร้าอย่างน้อย 10 ครั้ง และอาการเข้าขั้นรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าในความจริงเขาได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชมาแล้วมากกว่าหนึ่งปีก็ตาม
เขากล่าวเสริมว่า ในระหว่างที่เขามีอาการในระยะซึมเศร้าขั้นรุนแรง แวน โก๊ะ ไม่ได้วาดภาพมากนัก ในบางช่วงก็ไม่วาดภาพเลย หรือถ้าจะวาดก็จะเป็นภาพวาดอันแสนเศร้า เทียบไม่ได้กับผลงานอื่น ๆ
![Tree Roots and Trunks, 1890, by Vincent van Gogh](https://ichef.bbci.co.uk/ace/ws/640/cpsprodpb/a4ec/live/0b786730-ed2f-11ee-9410-0f893255c2a0.jpg)
ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES
คำบรรยายภาพ,ภาพวาดสีน้ำมัน รากต้นไม้และลำต้น (Tree Roots and Trunks) ที่วาดขึ้นเมื่อปี 1890 โดยแวน โก๊ะ มีหลายคนเชื่อว่า เป็นผลงานภาพวาดชิ้นสุดท้ายของเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
ตลอดชีวิตของแวน โก๊ะ ต้องทนทุกข์ในฐานะจิตรกร (ซึ่งเขาขายภาพวาดได้เพียงภาพเดียว) กับการที่มีปัญหาสุขภาพจิต แต่ศาสตราจารย์โนเลนเชื่อว่า เรื่องราวนี้อาจจะแตกต่างจากสิ่งที่ศิลปินที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันต้องเผชิญ
"เขาอาจจะได้รับการวินิจฉัย และได้รับคำแนะนำไม่ให้ดื่ม(เครื่องดื่มแอลกอฮอล์) และบางครั้งอาจจะไม่ต้องหลุดเข้าไปสู่ช่วงอารมณ์แปรปรวนไปมาแบบสุดขั้วจากซึมเศร้าและคึกคัก หรือไม่ก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเป็นจิตรกรของเขา ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะพูด แต่ว่า เขาก็อาจจะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวเองก็ได้" เขากล่าวทิ้งท้าย
สำหรับสถานการณ์ในไทย จากรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่และภาพรวมปี 2566 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เปิดเผยในเดือน มี.ค. 2567 ระบุถึงสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตของคนไทย จากข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตของคนไทย พบว่า โดยภาพรวมของปี 2566 คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่มีสัดส่วน 12.8% เพิ่มเป็น 29.9% โดยผู้เข้ารับการประเมิน 1.2 ล้านราย มีปัญหาเสี่ยงซึมเศร้ามากที่สุด และรองลงมาเป็นกลุ่มที่มีความเครียดสูง
ที่ม่ https://www.bbc.com/thai/articles/c2lwygvxy79o
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น