สุดยอดการค้นพบทางโบราณคดีแห่งปี 2024
![(ซ้าย) แผ่นทองคำสำหรับสวมทับทรวงอก มีลวดลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดจากการผสมผสานลักษณะของสัตว์หลายชนิด (ขวา) ตุ๊กตาทองคำขนาดเล็กที่มีหูและจมูกเหมือนค้างคาว](https://ichef.bbci.co.uk/ace/ws/640/cpsprodpb/62ef/live/2fe2b610-c1ab-11ef-a0f2-fd81ae5962f4.png.webp)
ในรอบปี 2024 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มีการค้นพบทางโบราณคดีอันน่าทึ่งมากมายเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบโบราณสถานและโบราณวัตถุใหม่ ๆ ของอารยธรรมเก่าแก่ในภูมิภาคอเมริกากลางและใต้ รวมทั้งการค้นพบที่น่าตื่นตะลึง อย่างเช่นกำแพงหินอายุกว่าหมื่นปีของนายพรานปลายยุคน้ำแข็ง ที่ยังจมอยู่ใต้ทะเลบอลติกด้วย
หมอผีทองคำแห่งปานามา
ที่อุทยานโบราณคดีเอลกานโญ (El Caño Archaeological Park) ในทางตอนกลางของประเทศปานามา ทีมนักโบราณคดีได้ทำการขุดค้น จนพบหลุมศพที่น่าตื่นตะลึงซึ่งมีอายุเก่าแก่ 1,250 ปี โดยร่างของผู้วายชนม์ที่นอนอยู่ในหลุมศพนั้น ถูกห่อหุ้มด้วยเครื่องประดับทองคำเต็มตัว ทั้งยังมีรูปปั้นทองคำขนาดเล็กและของมีค่าจำนวนมากฝังรวมอยู่ด้วย
บริเวณที่พบหลุมศพดังกล่าวเป็นสุสานโบราณริมฝั่งแม่น้ำของชาวโกเกลย์ (Coclé) โดยศพที่ถูกฝังในท่านอนคว่ำหน้านั้น นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นหมอผี (shaman) ระดับผู้นำคนสำคัญ ซึ่งมีหน้าที่ทำการปกครอง รวมทั้งบำบัดรักษาโรคทางกายและความเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณ ให้กับชนเผ่าโบราณในแถบอเมริกากลาง
ที่ข้างกายของหมอผีคนดังกล่าว ทีมนักโบราณคดียังพบท่อสั้น ๆ ที่ทำจากกระดูกกวาง ซึ่งในตอนแรกพวกเขาคิดว่าอาจเป็นเครื่องดนตรีจำพวกขลุ่ย แต่ในเวลาต่อมาผลการตรวจสอบโดยละเอียดกลับชี้ว่า มันคือบ้องสำหรับสูดดมควันจากการเผาสมุนไพรเพื่อรักษาโรค ซึ่งการสูดดมควันสมุนไพรนี้ยังใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ โดยหมอผีจะเต้นรำหรือทำสมาธิไปด้วยเพื่อให้ตกภวังค์หรือเกิดภาพหลอน จนสามารถสื่อสารกับเหล่าวิญญาณและเทพเจ้าได้
รูปทรงและลวดลายที่ปรากฏบนรูปปั้นขนาดเล็กและแผ่นประดับทรวงอก ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดจากการผสมผสานลักษณะของสัตว์หลายชนิด เช่นค้างคาว, ฉลาม, ผีเสื้อ, นก, และจระเข้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าชาวโกเกลย์เลือกใช้สัตว์ที่มีองค์ประกอบของธาตุทั้งสี่ คือดิน,น้ำ,ลม,ไฟ มาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกหลังความตาย
ทีมนักโบราณคดีใต้น้ำของเยอรมนี ค้นพบโครงสร้างฝีมือมนุษย์โบราณที่พื้นทะเลบอลติก โดยเป็นซากกำแพงหินสูง 1 เมตร และยาวเกือบ 1 กิโลเมตร จมอยู่ใต้น้ำทะเลที่ระดับความลึกประมาณ 20 เมตร ห่างจากชายฝั่งทางภาคเหนือของเยอรมนีออกไปราว 10 กิโลเมตร
กำแพงดังกล่าวก่อจากหินที่เรียงซ้อนกันกว่า 1,600 ก้อน โดยหินแต่ละก้อนมีขนาดเล็กพอที่คนผู้หนึ่งจะยกมาวางได้ด้วยตนเอง ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้สูงที่กำแพงนี้จะถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ในยุคหินกลาง (Mesolithic period) ซึ่งตรงกับช่วงปลายยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเมื่อราว 10,000 ปีก่อน
ในตอนนั้นสถานที่ตั้งของกำแพงหินยังไม่ถูกน้ำทะเลท่วมทับ ผลการตรวจสอบทางธรณีวิทยายังพบว่า ในอดีตบริเวณดังกล่าวอาจเป็นป่าพรุหรือพื้นที่ริมฝั่งทะเลสาบ ซึ่งแนวของกำแพงหินถูกสร้างให้ขนานไปกับหนองบึงหรือทะเลสาบนั้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่า แท้จริงกำแพงดังกล่าวอาจมีไว้เพื่อต้อนฝูงสัตว์ป่าให้เข้ามาติดกับในที่แคบ ก่อนที่เหล่านายพรานที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่จะลงมือล่าได้โดยสะดวก
เนื่องจากสังคมมนุษย์ในช่วงปลายยุคน้ำแข็งยังไม่รู้จักการทำเกษตรกรรม จึงเป็นไปได้ว่าเหล่านายพรานในสังคมที่ยังล่าสัตว์และหาเก็บของป่าเลี้ยงชีพ ได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้างกำแพงนี้ขึ้น เพื่อทำการล่าครั้งใหญ่ตามฤดูกาลปีละ 1-2 ครั้ง ซึ่งนักโบราณคดีคาดว่าสัตว์ป่าที่ถูกล่าน่าจะเป็นสัตว์มีกีบเท้าขนาดใหญ่ อย่างเช่น "กวางเรนเดียร์ยูเรเชีย" (Eurasian reindeer) ซึ่งเริ่มอพยพขึ้นมาในทางตอนกลางของยุโรป เพราะอากาศที่อบอุ่นขึ้นทำให้เริ่มมีป่าหนาทึบขึ้นในบริเวณนั้น
กระดูกนักสำรวจยุคศตวรรษที่ 19 เผยเรื่องราวดำมืดในเขตอาร์กติก
![แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีในเขตอาร์กติก บนเกาะคิงวิลเลียมส์ในประเทศแคนาดา](https://ichef.bbci.co.uk/ace/ws/640/cpsprodpb/e231/live/5eb31de0-c1ab-11ef-a0f2-fd81ae5962f4.png.webp)
โศกนาฏกรรมของเรือหลวงเอเรบัส (HMS Erebus) และเรือหลวงเทอร์เรอร์ (HMS Terror) ซึ่งออกเดินทางจากอังกฤษในปี 1845 เพื่อสำรวจ "ช่องทางตะวันตกเฉียงเหนือ" (Northwest Passage) ในท้องทะเลที่เต็มไปด้วยภูเขาน้ำแข็งของเขตอาร์กติก โดยมุ่งหวังจะหาเส้นทางเดินเรือลัดที่เชื่อมต่อมหาสมุทรแอตแลนติกเข้ากับมหาสมุทรแปซิฟิกนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าลงเอยด้วยการจบชีวิตของลูกเรือทั้งหมด 134 คน เนื่องจากความอดอยากหิวโหยและอากาศหนาวเย็น เพราะเรือติดอยู่ในแผ่นน้ำแข็งหนาจนเคลื่อนที่ต่อไปไม่ได้
จนกระทั่งเกือบสองร้อยปีต่อมา นักโบราณคดียังคงค้นหาข้อเท็จจริงเบื้องหลังเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวอยู่อย่างไม่ลดละ โดยในช่วงทศวรรษ 1990 มีการค้นพบร่างของผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้าย 13 ราย บนเกาะคิงวิลเลียมส์ของประเทศแคนาดา พร้อมทั้งพบบันทึกลงวันที่ 25 เม.ย. 1848 ที่เขียนโดยกัปตันเจมส์ ฟิตซ์เจมส์ แห่งเรือหลวงเอเรบัส ซึ่งระบุว่าพวกเขาตัดสินใจทิ้งเรือที่ติดอยู่ในผืนน้ำแข็งมานานนับปี หลังจากมีผู้เสียชีวิตไปมากมาย
ผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายตัดสินใจเดินเท้าลงไปทางทิศใต้ แต่พวกเขาก็ไปได้ไม่ไกลนักก่อนจะจบชีวิตลงทั้งหมด ร่องรอยตัดเฉือนที่พบบนโครงกระดูกของลูกเรือ 4 ราย แสดงว่าพวกเขาจำต้องกินเนื้อมนุษย์จากร่างของเพื่อนเพื่อประทังชีวิต
ล่าสุดในปีนี้ ผลการตรวจสอบพันธุกรรมบนโครโมโซมวาย (Y) ชี้ว่ากระดูกขากรรไกรล่างชิ้นหนึ่งที่มีรอยบากจากของมีคม ซึ่งนักโบราณคดีพบบนเกาะคิงวิลเลียมส์นั้น แท้จริงเป็นของกัปตันฟิตซ์เจมส์ผู้เขียนบันทึกฉบับสุดท้าย แสดงว่าสถานะผู้นำการสำรวจ ไม่ได้ช่วยปกป้องเขาให้พ้นภัยจากสัญชาตญาณดิบของคนที่กำลังหิวโหยและดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ทว่าการกินเนื้อเพื่อนในครั้งนี้ กลับช่วยต่อลมหายใจให้ลูกเรือที่เหลืออยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ที่ทา https://www.bbc.com/thai/articles/cj0rn203p08o
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น